ประวัติชาวเขา
กระเหรี่ยง
(Karen) แม้ว
(Meo)
เย้า ( Yao)
มูเซอ ( Lahu)
ลีซอ (Lisu)
อีก้อ (Akha)
ลัวะ
(Lua)
ถิ่น(H'tin)
ขมุ( Khamu)
ผีตองเหลือง(Malabari)
ปะดอง(Padaung)
ปะหล่อง(Palong)
ถิ่น
HTIN
ประวัติความเป็นมา
ถิ่นจัดอยู่ในสาขามอญ-เขมร ซึ่งอยู่ในกลุ่มภาษาออสโตรเอเซียติด
มี 2 กลุ่มย่อยคือ ถิ่นคมาล หรือมาลและถิ่นคลำไปร๊ต์หรือไปร๊ต์ ถิ่นทั้ง
2 กลุ่มนี้ มีความแตกต่างกันในภาษาพูดและขนบธรรมเนียมประเพณี
วนการตั้งถิ่นฐานและการแต่งกายต่างกันในภาษาพูดและขนบธรรมเนียมประเพณีส่วนการตั้งถิ่นฐานและการแต่งกายเหมือน
ๆ กัน ถิ่นอพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 60 80
ปีมานี้ โดยอพยพมาจากแขวงไชยบุรีประเทศลาว
เข้าสู่ประเทศไทยทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดน่าน
ถิ่นในประเทศไทยมี 156 หมู่บ้าน 8,435 หลังคาเรือน ประชากร 42,782 คน
คิดเป็นร้อยละ 4.68
ของจำนวนประชากรชาวเขาทั้งหมดในประเทศไทยโดยอาศัยอยู่ในจังหวัดน่าน
เพชรบูรณ์ และเลย
ลักษณะการตั้งถิ่นฐาน
ถิ่นมักตั้งบ้านเรือนอยู่บนภูเขาที่มีความสูงประมาณ 1,000
1,300 เมตร เหนือจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะหมู่บ้านจะตั้งอยู่ในพื้นที่ราบบนภูเขา
ซึ่งไม่ห่างแหล่งน้ำใช้อุปโภคมากนัก โดยจะรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ
กลุ่มหนึ่งโดยเฉลี่ยประมาณ 50 ครอบครัวต่อหมู่บ้าน
ในแต่ละหมู่บ้านจะมีการกระจายเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยยึดวงศ์ญาติเป็นหลัก
กลุ่มย่อยหนึ่ง ๆ จะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ลักษณะเช่นนี้
อาจเกิดจากสภาพการทำมาหากินและพื้นที่สิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
ลักษณะบ้านของถิ่นจะเป็นบ้านยกพื้นสูง พื้นและข้างฝาทำด้วยไม้ไผ่
หลังคาด้านที่ลาดลงมาจะมีครกกระเดื่องสำหรับตำข้าวตั้งอยู่
และใช้เก็บฟืนและสิ่งของต่าง ๆ ด้วย ตัวบ้านไม่มีหน้าต่าง
มีประตูเข้าบ้าน 2 ประตู หน้าบ้านจะมีระเบียงหรือนอกชานที่ใหญ่
ระเบียงหน้ามีจะมีชายคายื่นลงมาปกคลุม ส่วนใต้ถุนบ้านจะเป็นคอกสัตว์
ระบบทางสังคม
ลักษณะครอบครัว
ในบ้านหลังหนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยครอบครัวเดี่ยวาครอบครัวขยายซึ่งเกิดจากลูกสาวที่แต่งงานนำสามีเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย
ยิ่งมีบุตรสาวหลายคนก็มีหลายครอบครัว โดยครอบครัวของพี่สาวคนโต
สามารถแยกไปตั้งบ้านใหม่ได้ ส่วนครอบครัวของบุตรสาวคนเล็ก
จะต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่ตลอดไป
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ถิ่นอยากได้บุตรสาวมากกว่าบุตรชาย
ซึ่งเมื่อแต่งงานแล้วต้องไปอยู่บ้านภรรยา ทำให้ครอบครัวขาดแรงงาน
การสืบสกุล
สืบทอดสกุลฝ่ายมารดาเนื่องจากมีการนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายมารดา
ผู้ชายที่แต่งงานแล้วต้องตัดขาดจากฝีเดิมมานับถือผีของฝ่ายภรรยา
และเมื่อมีบุตรก็นับถือผีฝ่ายมารดาเช่นกัน
ดังนั้นในหมู่บ้านถิ่นหนึ่งๆจะมีตระกูล 2-3 ตระกูลๆ หนึ่งก็มี 3-5 หลัง
ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันและผู้ที่นับถือผีเดียวกันจะมีอยู่เฉพาะภายในหมู่บ้านเท่านั้น
ส่วนการใช้นามสกุลของถิ่นนั้นไม่สามารถบอกลักษณะความเป็นพี่ต้องกันได้
เพราะในหมู่บ้านหนึ่งจะมีเพียง 1 นามสกุลเท่านั้น
ส่วนนามสกุลนอกเหนือจากนี้แสดงถึงการอพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านภายหลัง
แต่ความเป็นเครือญาตินั้นต้องดูจากการนับถือผีของแต่ละคน
การแต่งงาน
จะมีขึ้นหลังจากที่ฝ่ายชายและหญิงได้ตกลงแต่งงานกัน
ทั้งสองฝ่ายจะกำหนดวันแต่งงานซึ่งจะเป็นวัน
ใดก็ได้
แต่ต้องไม่ตรงกับวันกรรมของทั้งสองฝ่าย หรือของหมู่บ้าน
ในวันแต่งงานจะกระทำที่บ้านฝ่ายหญิง มีการเลี้ยงผีและให้พรของผู้อาวุโส
และเลี้ยงเพื่อนบ้านที่มาช่วยงานเป็นเสร็จพิธี
หลังจากนั้นฝ่ายชายก็มาอยู่บ้านฝ่ายหญิง
ในการแต่งงานจะแต่งงานกับคนในหมู่บ้านเดียวกันมากกว่าคนจากหมู่บ้านอื่นซึ่งเป็นคนในกลุ่มย่อยเดียวกันด้วย
ถิ่นไม่นิยมได้เสียก่อนแต่งงาน
ซึ่งเป็นที่รังเกียจของคนในหมู่บ้านแล้วจะต้องมีการเลี้ยงผีบรรพบุรุษและถูกปรับไหม
นอกจากนี้ผู้ชายจะมีภรรยาได้เพียงคนเดียว
ถึงแม้ว่าจะมีฐานะดีก็มีภรรยาหลายคนไม่ได้
นอกจากต้องหย่าขาดจากภรรยาเดิมเสียก่อนจึงทำให้การหย่าร้างของคู่แต่งงานเกิดขึ้นเสมอ
โดยเฉพาะสามี ภรรยาที่อยู่บ้านแม่ภรรยา
และมีครอบครัวพี่น้องสาวอยู่ด้วยและในการหย่าร้างต้องได้รับการอนุญาตจากผู้อาวุโสก่อน
การปกครอง
การปกครองของถิ่น อาจแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
-
อย่างเป็นทางการ
-
ตามจารีตประเพณี
การปกครองอย่างเป็นทางการ
เกิดจากทางราชการเข้าไปดำเนินการจัดตั้งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย และคณะ
กรรมการหมู่บ้าน
โดยวิธีให้สมาชิกในหมู่บ้านลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหรือแต่งตั้งโดยทางอำเภอ
ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางติดต่อระหว่างชาวบ้านกับทางราชการ
เป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาและตัดสินคดีความเล็ก ๆ น้อย ๆ
รักษาความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้าน เป็นผู้นำการพัฒนาด้านต่างๆ
รวมถึงการประสานงานขอความช่วยเหลือสนับสนุนจากหน่วยราชการให้เข้ามาช่วยเหลือหรือพัฒนาหมู่บ้าน
คณะกรรมการหมู่บ้าน
มีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน มีคณะกรรมการประกอบด้วยสมาชิกหมู่บ้าน 7-10 คน
ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็นฝ่าย เช่น
ด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย การศึกษา สาธารณสุข พัฒนาอาชีพ
วัฒนธรรมและประเพณี ฯลฯ
รูปแบบการปกครองของทางราชการ
มักจะประกอบด้วยบุคคลที่อ่านออกเขียนภาษาไทยได้
อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน
สมาชิกในหมู่บ้านแต่ละแห่งอาจจะไม่ยอมรับนับถือผู้นำที่ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเท่าไรนัก
อาจเป็นเพราะไม่ใช่ญาติอาวุโสที่ต้องเคารพนับถือมาก่อน หรือมองไปว่า
บุคลิกลักษณะนิสัยไม่น่านับถือ อย่างไรก็ตาม
ก็ไม่มีใครขัดขวางหรือขัดแย้งรุนแรง
เพราะทราบดีว่าเป็นตำแหน่งของทางราชการที่ได้แต่งตั้งจากฝ่ายปกครองของบ้านเมือง
การปกครองตามจารีตประเพณี
เป็นการปกครองแบบดั้งเดิมของถิ่นหมู่บ้านแต่ละแห่งจะใช้ ฮีต
เป็นตัวกำหนด และได้สืบทอดต่อ ๆ กันมาจากบรรพบุรุษของเขา
จารีตแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ
-
จารีตของหมู่บ้าน
-
จารีตของตระกูล
จารีตของหมู่บ้านได้รับการเรียนรู้และถ่ายทอดจากบิดามารดาต่อไปยังบุตรหลาน
เป็นข้อห้าม
ส่วนรวมที่กระทำผิดแล้วจะมีผลทำให้สมาชิกส่วนรวมของหมู่บ้านได้รับความเดือดร้อน
เช่น มีการห้ามสิ่งของเข้ามาในหมู่บ้านในวันกรรม
จะทำให้คนในหมู่บ้านเกิดเจ็บป่วย การทำกิจกรรมในไร่ก่อนเรือนเก้า
ของถิ่นจะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านเกิดเจ็บป่วย
การทำกิจกรรมในไร่ก่อนเรือนเก้า
ของถิ่นจะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านเจ็บป่วยล้มตาย คณะผู้อาวุส (คนเฒ่าคนแก่)
และหมอผี จะพิจารณาร่วมกันว่า การกระทำที่ผิดจารีตประเพณี
ผู้กระทำจะต้องถูกลงโทษาอย่างไร เช่น ต้องถูกปรับเป็นหมูหรือไก่ 1 ตัว
หรือสุรา 1 ขวด และวิธีแก้ไขจะต้องมีพิธีกรรมอย่างไร
จารีตของตระกูล
ถิ่นแต่ละตระกูลจะมีจารีตในตระกูลของตนเอง
ความผิดส่วนตัวที่เกิดขึ้นในตระกูลของตนเอง เช่น
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือความผิดเกี่ยวกับการทะเลาะเบาะแว้งกัน
ผู้อาวุโสในตระกูลนั้นจะเป็นผู้พิจารณาตัดสินชี้ขาดส่วนการปรับสินไหม
หมอผีจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะปรับเป็นเงินสุรา หมู ไก่ หรือ อย่างไร่อื่น
จารีตประเพณียังคงยึดถือกันในสังคมของถิ่น
การกระทำผิดจารีตก็เสมือนการกระทำผิดผี ทำให้ผีบรรพบุรุษไม่พอ
และทำให้เจ็บป่วยได้
ความเชื่อถือ
ถิ่น
ส่วนใหญ่มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์หรือสิ่งที่มองไม่เห็นตัวคือ
ผีซึ่งสามารถให้คุณให้โทษแก่พวกเขาได้ ถ้าหากผิดจารีตประเพณีต่าง ๆ
ที่บรรพบุรุษเคยกำหนดไว้ นอกจากนี้ การเจ็บไข้ได้ป่วย
พวกเขาก็เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของผี
การรักษาจึงมึกจะทำด้วยการเลี้ยงผีเป็นส่วนใหญ่ ผีที่สำคัญของถิ่นมี 4
ชนิดคือ
ผีหมู่บ้าน (ปรองงวล)
เป็นผีใหญ่ประจำหมู่บ้านที่สามารถให้คุณให้โทษคนทั้งหมู่บ้านได้ ทุก ๆ
ปีต้องมีการเซ่นไหว้ เพื่อให้สมาชิกในหมู่บ้านมีชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข
ผีบ้านหรือผีเรือน (ปรองแซ)
เป็นผีที่ให้คุณให้โทษเกี่ยวกับผลผลิตจากไร่ว่าจะดีหรือไม่ดี
ผีเจ้าที่ (ปรองเจ้าตี้)
เป็นผีที่สิงสถิตอยู่ในพื้นที่ก่อนที่จะมีการตั้งหมู่บ้าน
ถิ่นต้องสร้างศาลให้เจ้าหน้าที่สถิตอยู่
แต่ละปีต้องมีการเลี้ยงเพื่อคุ้มครองให้หมู่บ้านพ้นภัยพิบัติต่าง ๆ
เมื่อฝนแล้งทำมาหากินไม่ได้ผลดี อาจจะมาบนผีเจ้าที่ให้ช่วย
เมื่อผ่านพ้นวิกฤตดังกล่าวเขาก็จะต้องมาแก้บนด้วยการเลี้ยงผีอีก
ระบบเศรษฐกิจ
ในการทำมาหากินในชีวิตประจำวันของถิ่นนั้น
ผลิตเพื่อการยังชีพไปวัน ๆ หนึ่ง การเพาะปลูกจึงเป็นอาชีพที่สำคัญ
โดยเฉพาะการปลูกข้าวไร่เพื่อให้พอกินตลอดปี
จึงทำให้ถิ่นต้องมีพิธีเลี้ยงผีหลายครั้ง เพื่อให้ผลผลิตมากพอกิน
ส่วนการผลิตเพื่อนำเงินสดนั้น ถิ่นจะหาได้จากการล่าสัตว์
หรือขายสัตว์เลี้ยง การรับจ้างและการหาของป่าไปขาย
นอกจากข้าวไร่ที่ปลูกกันทุกหมู่บ้านแล้ว มีบางหมู่บ้านเริ่มทำนาดำบ้าง
ส่วนพืชอื่น ๆ นั้นมีข้าวโพด ข้าวฟ่าง และพืชผักต่าง ๆ
บางหมูบ้านมีการเก็บเกี่ยวชาป่าทำเมี่ยงเพื่อขายต่อไป
และบางหมู่บ้านแถบตำบลบ่อเกลือเหนือ และบ่อเกลือใต้
มีการทำเกลือเพื่อขายให้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงอีกด้วย
ถิ่นมีความสามารถเฉพาะเผ่าของตนอีกอย่างหนึ่ง คือ
การจักสานเสื่อหญ้าสามเหลี่ยม
โดยจะนำสามเหลี่ยมมาสานผสมกับใบตองตึงทำให้มีลวดลายที่สวยงาม
สัตว์เลี้ยงที่นิยมเลี้ยงมีไก่หมู เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม
และยังสามารถาขายลูกหมูเป็นรายได้อีกด้วย สุนัขเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน
และช่วยในการล่าสัตว์ วัว ควาย เลี้ยงไว้เพื่อขายแก่คนพื้นราบ
หรือเพื่อให้เช่าไปทำการไถนา
ข้อห้ามและข้อปฏิบัติบางประการ
เมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน จะสื่อสารกันได้ง่าย
เนื่องจากถิ่นส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยพื้นเมืองทางภาคเหนือได้
การแต่งกายทั้งชายและหญิงในปัจจุบันแต่งการแบบคนไทย
แม้ว่าจะมีเครื่องแต่งกายประจำเผ่าของตน แต่ก็หาดูได้ยาก
เพราะไม่นิยมสวมใส่กัน
สำหรับเรื่องการเข้าพักในบ้านเรือนของถิ่น แขกที่จะพักค้างคืน
ต้องนอนนอกชาน เข้าไปนอนในบ้านไม่ได้
ขณะที่ทำขวัญ ซึ่งทำภายในบ้าน
คนแปลกหน้าห้ามเข้าไปโดยเด็ดขาด
ถ้าหากไม่รู้จักเขา
อย่านำอาหารไปทำเองในครัวของเขา
การขึ้นบ้านใหม่
ต้องหาผู้ชายชื่อแก้วเป็นผู้ถือข้าว
ผู้หญิงชื่อคำเป็นผู้ถือหม้อนึ่งข้าวขึ้นไปบนบ้านก่อนแล้ว
เจ้าของบ้านจึงเดินตามขึ้นไป
ห้ามใส่รองเท้าเจ้าไปในบ้าน
หากใส่เข้าไป ถือว่าผิดผี เข้าของบ้านจะปรับสุรา 1 ขวด หรือไก่ 1 ตัว
ขณะรับประทานอาหาร ถ้ายังไม่อิ่ม
ห้ามลุกไป ถ้าลุกออกจากวงอาหาร เจ้าของบ้านจะเก็บสำหรับทันที
ถิ่นนิยมดื่มเหล้าขาว และเหล้าอุ
เหล้าอุนิยมใช้ในการต้อนรับแขก
*******************
กระเหรี่ยง
(Karen) แม้ว
(Meo)
เย้า ( Yao)
มูเซอ
( Lahu)
ลีซอ (Lisu)
อีก้อ (Akha)
ลัวะ
(Lua)
ถิ่น(H'tin)
ขมุ( Khamu)
ผีตองเหลือง(Malabari)
ปะดอง(Padaung)
ปะหล่อง(Palong)