ประวัติชาวเขา
กระเหรี่ยง
(Karen) แม้ว
(Meo)
เย้า ( Yao)
มูเซอ ( Lahu)
ลีซอ (Lisu)
อีก้อ (Akha)
ลัวะ
(Lua)
ถิ่น(H'tin)
ขมุ( Khamu)
ผีตองเหลือง(Malabari)
ปะดอง(Padaung)
ปะหล่อง(Palong)
ขมุ
KHAMU
ประวัติความเป็นมา
ขมุ
เป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่มีถิ่นที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย
นักภาษาศาสตร์ จำแนกภาษาของชาวขมุอยู่ในตระกูลภาษา มอญ
เขมร ซึ่งอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก ชาวขมุเรียกตัวเองว่า ขมุ
อ่านว่า ขะ
มุ (เสียงวรรณยุกต์ตรี)
แต่คนต่างเผ่ากับชาวขมุจะเรียกชาวขมุว่า ขะ-หมุ
(เสียงวรรณยุกต์เอก) ซึ่งคำว่า ขมุ
นี้มีความหมายในภาษาไทยว่า คน
ขมุในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ
1.1 ขมุมกพลาง หรือขมุฮอก
1.2 ขมุลื้อ
โดยแยกตามความแตกต่างทางภาษาท้องถิ่นและลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม
กล่าวคือ ชาวขมุลื้อ
ค่อนข้างจะเป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอกมากกว่า
ภาษาที่ใช้พูดจะมีภาษาไทยเหนือปะปนอยู่มาก
การยึดถือจารีตประเพณีและความเชื่อดั้งเดิมก็ค่อนข้างจะเปลี่ยแปลงไปมากกว่า
ขมุมกพลาง
ลักษณะการตั้งถิ่นฐาน
เชื่อกันว่า ขมุ เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของเอเชียอาคเนย์ ในปัจจุบัน
ขมุกระจายตัวอยู่ทางประเทศลาวตอนเหนือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแขวงหลวงพระบางสำหรับในประเทศไทยนั้น ขมุ
มีอยู่อย่างหนาแน่นในจังหวัดน่าน นอกจากนั้นมีอยู่ในจังหวัดเชียงราย
ลำปาง เชียงใหม่ สุโขทัยและอุทัยธานี
จำนวนประชากร ขมุ ในประเทศไทยนั้น
จากการสำรวจพบว่ามี 40 หมู่บ้าน 2,212 หลังคาเรือน 10,519 คน
คิดเป็นร้อยละ 1.15 ของจำนวนประชากรชาวเขาทั้งหมดในประเทศไทย
เนื่องจากขมุเป็นกลุ่มชาวเขากลุ่มหนึ่งที่ไม่ปลูกฝิ่น
ดังนั้นส่วนใหญ่จึงตั้งบ้านในระดับความสูงที่ต่ำกว่า 1,000 เมตร
เหนือระดับน้ำทะเล
และที่ตั้งหมู่บ้านส่วนใหญ่จะนิยมพื้นที่ราบระหว่างหุบเขา
นอกจากนี้ยังนิยมตั้งหมู่บ้านที่มีทางเข้าหมู่บ้านหันไปทางทิศตะวันออก
ซึ่งขมุถือว่าจะนำความร่วมเย็นเป็นสุขมาให้แก่คนในหมู่บ้าน
ลักษณะบ้านขมุ
เป็นบ้านยกพื้นและพื้นบ้านมี 2 ระดับ
บ้านส่วนใหญ่จะมีห้องนอนเดียวซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบบ้านกับลักษณะโครงสร้างของครอบครัว
กล่าวคือ ขมุมักจะมีครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว
จึงมิได้มีโครงสร้างบ้านที่สามารถ่จะแบ่งออกเป็นห้องเล็ก ๆ ได้มากนัก
และการที่ที่จะต่อเติมบ้านก็กระทำได้ยาก เนื่องจากเป็นบ้านยกพื้น
ระบบเศรษฐกิจ
ขมุส่วนใหญ่ หาเลี้ยงชีพโดยการทำไร่บนภูเขา
โดยใช้ระบบการประกอบเกษตรกรรมที่เรียกว่า ไร่หมุนเวียน กล่าวคือ
เมื่อได้ทำการตัดโค่นต้นไม้และเผาเพื่อใช้พื้นที่เป็นที่เพาะปลูกแล้ว
ก็จะใช้พื้นที่แห่งนั้นประมาณ 1 3 ปี
แล้วจะปล่อยให้พื้นที่นั้นพักตัวให้ต้นไม้ขึ้นเป็นป่าใหม่ ประมาณ 1
3 ปี
แล้วจะปล่อยให้พื้นที่นั้นพักตัวให้ต้นไม้ขึ้นเป็นป่าใหม่ ประมาณ 1
3 ปี
เพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้นแล้วจึงแผ้วถางกลับไปใช้พื้นที่นั้นใหม่
ส่วนพืชที่ปลูกนั้น
ได้แก่ข้าวสำหรับบริโภคและข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์
นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชสวนครัว ซึ่งเป็นพืชจำพวกเครื่องเทศ เช่น พริก
หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า ขมิ้น เป็นต้น
เมื่อพิจารณาระบบเศรษฐกิจของขมุโดยส่วนรวมสามารถจัดได้ว่า
ขมุส่วนใหญ่มีระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ
นอกจากนี้ ขมุ
ยังจัดได้ว่าเป็นพวกที่มีความชำนาญในเรื่องการทำไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเลื่อยไม้ ทั้งนี้
เป็นผลเนื่องมาจากการที่ชาวอังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้ามาทำอุตสาหกรรมไม้ในประเทศไทย
ตั้งแต่ พ.ศ.2429 เป็นต้นมา และได้จ้างพวกขมุมาเป็นคนงานในการทำป่าไม้
ทำให้พวกขมุได้รับความรู้ในเรื่องอุตสาหกรรมไม้
และถ่ายทอดความรู้กันมาจนถึงปัจจุบัน
ความเชื่อถือ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในบ้าน นอกจากผีหลวง (โฮร่อน่ำ) และผีหมู่บ้าน
(โฮร่อกุ้ง) ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านแล้ว ในแต่ละบ้าน
ยังมีผีประจำบ้าน (โฮร่อก้าง) ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านแล้ว
ในแต่ละหมู่บ้าน ยังมีผีประจำบ้าน (โฮร่อก้าง) อีกด้วย
ประเพณีที่สำคัญ
1.
พิธีเซ่นไหว้ผีหลวง
จัดขึ้นปีละครั้งหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว
2.
พิธีเซ่นไว้ผีหมู่บ้าน
จัดขึ้นเวลาประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
3.
พิธีเซ่นไหว้ผีประจำตระกูลหรือผีบรรพบุรุษในบ้านจัดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์
4.
พิธีสงเคราะห์ จัดขึ้นในวันสงกรานต์
เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ออกจากหมู่บ้าน
5.
พิธีเซ่นไหว้ผีไร่ จัดขึ้นปีละสี่ครั้ง
คือ ก่อนถางป่า ก่อนปลูกข้าว ขณะข้าวเริ่มออกรวง
และเมื่อข้าวแก่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว
ขมุมีความเชื่อเรื่องขวัญว่า คนเรามีขวัญเก้าขวัญ คนที่เจ็บป่วย
เพราะขวัญออกร่างไป การเรียกขวัญ
ให้กลับคืน ต้องเชิญหมอขวัญมาทำพิธีเรียกขวัญ
****************************
กระเหรี่ยง
(Karen) แม้ว
(Meo)
เย้า ( Yao)
มูเซอ
( Lahu)
ลีซอ (Lisu)
อีก้อ (Akha)
ลัวะ
(Lua)
ถิ่น(H'tin)
ขมุ( Khamu)
ผีตองเหลือง(Malabari)
ปะดอง(Padaung)
ปะหล่อง(Palong)